วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2568

00000. การเชื่อมไม่เติมน้ำตาล ตอนที่ 2

 00000. การเชื่อมไม่เติมน้ำตาล ตอนที่ 2

ข้อควรพิจารณาการใช้งานเหล็กกล้าเพื่องานก่อสร้างและงานเชื่อม 


ข้อควรพิจารณาเหล็กกล้าเพื่องานก่อสร้างและงานเชื่อม

เหล็กกล้าที่ใช้ในงานก่อสร้างมีหลายประเภท มีมาตรฐานที่กำหนดสมบัติและการใช้งานแตกต่างกันไป มาตรฐานกำหนดโดยองค์กรทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของวัสดุที่ใช้ในงานก่อสร้าง 

มาตรฐานเหล็กกล้าสำหรับงานก่อสร้างในประเทศไทย
ในประเทศไทย มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เป็นมาตรฐานที่กำหนดสมบัติของเหล็กกล้าสำหรับงานก่อสร้าง เช่น
  1. มอก. 1228-25XX เหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสำหรับงานโครงสร้างทั่วไป 
  2. มอก. 1499-2563 เหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนสำหรับงานโครงสร้างเชื่อมประกอบ
  3. มอก. 20-2559 เหล็กเส้นกลม สำหรับงานก่อสร้างทั่วไป
  4. มอก. 24-2559 เหล็กเสริมคอนกรีตชนิดข้ออ้อย 
มาตรฐานเหล็กกล้าสำหรับงานก่อสร้างในระดับสากล
มาตรฐานสากลที่นิยมใช้ในงานก่อสร้าง เช่น 
  • ASTM (American Society for Testing and Materials) กำหนดมาตรฐานสมบัติของวัสดุในสหรัฐอเมริกา เช่น ASTM A36 - สำหรับเหล็กกล้าคาร์บอนที่ใช้ในงานโครงสร้าง, ASTM A615 - Grade 40, Grade 60, และ Grade 75 เป็นเหล็กข้ออ้อยที่กำหนดค่าความต้านแรงดึงสูงกว่าเหล็กเส้นกลม
  • JIS (Japanese Industrial Standards) มาตรฐานอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เช่น JIS G3101 - สำหรับเหล็กกล้าคาร์บอนโครงสร้างทั่วไป, JIS G3112 -  SD295A, SD390, SD490 เป็นเกรดที่ใช้สำหรับเหล็กเสริมคอนกรีต มีค่าความต้านแรงดึงและความยืดตัวใกล้เคียงกับมาตรฐาน มอก.
  • EN (European Standards) มาตรฐานยุโรป เช่น EN 10025 - สำหรับเหล็กโครงสร้างรีดร้อน, EN 10080 - B500B และ B500C ใช้ในงานก่อสร้างที่ต้องการคุณสมบัติทนทานต่อแรงดึงและความยืดตัวสูง
ตารางเปรียบเทียบมาตรฐานเหล็กเส้นกลมและเหล็กข้ออ้อยในงานก่อสร้าง 
ธาตุผสมที่สำคัญและบทบาทของธาตุผสมในเหล็กกล้า 

บทบาทโดยรวมของธาตุผสมในงานโครงสร้างเหล็กกล้า
  1. เพิ่มความแข็งแรง - คาร์บอน, แมงกานีส, ซิลิกอน และวานาเดียม ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเหล็กกล้า โดยเฉพาะในงานโครงสร้างที่ต้องรับน้ำหนักมาก
  2. ปรับปรุงความเหนียวและความต้านทาน - นิกเกิล, โมลิบดีนัม และโครเมียม ช่วยเพิ่มความเหนียวและความทนทานต่อการกัดกร่อนและการสึกหรอ
  3. ปรับปรุงสมบัติที่อุณหภูมิสูงและต่ำ – โมลิบดีนัมและทังสเตน ช่วยให้เหล็กกล้าทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
  4. ลดข้อบกพร่องในการผลิต - ซิลิกอน, แมงกานีส และไทเทเนียม ช่วยกำจัดสิ่งเจือปน เช่น ออกซิเจนและกำมะถัน เพื่อปรับปรุงคุณภาพ
หากเหล็กกล้าคาร์บอนที่มีปริมาณคาร์บอนสูงเกินค่ามาตรฐาน 
ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกระบวนการเชื่อมและสมบัติของแนวเชื่อม ดังนี้
  1. เพิ่มความแข็งและลดความเหนียวกระแทก ปริมาณคาร์บอนสูงส่งผลให้โครงสร้างในบริเวณแนวเชื่อมและบริเวณ HAZ มีความแข็งมากขึ้น เนื่องจากมีแนวโน้มเกิดมาร์เทนไซต์ ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีความแข็งแรงสูงแต่เปราะมาก ทำให้โลหะไม่ทนต่อแรงกระแทกหรือแรงดึงได้ดีเท่าที่ควร 
  2. เพิ่มโอกาสเกิดรอยแตกร้าว ปริมาณคาร์บอนที่สูงเกินไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด Cold Cracking หรือ Hydrogen-Induced Cracking, HIC โดยเฉพาะในบริเวณ HAZ เนื่องจากความแข็งแรงและความเปราะของมาร์เทนไซต์ในโครงสร้างจุลภาค 
  3. ลดความสามารถในการเชื่อม เหล็กกล้าที่มีคาร์บอนสูงมักมีค่าคาร์บอนสมมูล (Carbon Equivalent, CE) สูง ซึ่งทำให้โลหะมีความไวต่อการแตกร้าว ความเค้นตกค้างและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจุลภาคในบริเวณ HAZ 
  4. ผลต่ออัตราการเย็นตัว ปริมาณคาร์บอนสูงทำให้อัตราการเย็นตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดโครงสร้างที่ไม่พึงประสงค์ เช่น มาร์เทนไซต์หรือเบนไนต์ ซึ่งส่งผลเสียต่อสมบัติทางกล 
แนวทางแก้ไข
  1. ควบคุมปริมาณคาร์บอนในโลหะงาน เลือกเหล็กกล้าที่มีปริมาณคาร์บอนอยู่ในระดับที่เหมาะสมสำหรับการเชื่อม โดยค่าคาร์บอนสมมูลไม่ควรเกิน 0.40–0.45%
  2. การ Preheating ที่อุณหภูมิ 150–300°C ก่อนการเชื่อม เพื่อลดอัตราการเย็นตัวและลดความเค้นในแนวเชื่อม 
  3. การใช้โลหะเติม ใช้ลวดเชื่อมที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำและมีส่วนผสมของธาตุที่ช่วยลดการเกิดมาร์เทนไซต์ เช่น นิกเกิล หรือธาตุที่ช่วยเพิ่มความเหนียว
  4. การควบคุมกระบวนการเชื่อม ใช้กระแสไฟฟ้าต่ำถึงปานกลางและเชื่อม Short Passes เพื่อควบคุมการสะสมความร้อนและลดความเค้นตกค้าง 
  5. การคลายความเค้น Post-Weld Heat Treatment, PWHT การทำ PWHT เพื่อปรับปรุงโครงสร้างจุลภาคในบริเวณ HAZ และลดความเปราะของโลหะ
หากเหล็กกล้าคาร์บอนมีปริมาณฟอสฟอรัสสูงเกินค่ามาตรฐาน 
จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกระบวนการเชื่อมและคุณสมบัติของแนวเชื่อม ดังนี้
  1. เพิ่มความเปราะในโครงสร้างโลหะ ฟอสฟอรัสเป็นธาตุที่มีแนวโน้มทำให้โลหะเกิดความเปราะ โดยเฉพาะในบริเวณที่เย็นตัวเร็ว เช่น แนวเชื่อมและ HAZ ซึ่งส่งผลต่อความเหนียวกระแทกและความสามารถในการทนต่อแรงกระแทก 
  2. เพิ่มความไวต่อ Cold Cracking ฟอสฟอรัสที่สูงเกินไปทำให้เกิดโครงสร้างที่เปราะ เช่น มาร์เทนไซต์ ในบริเวณ HAZ ซึ่งเพิ่มโอกาสการแตกร้าวเย็น Cold Cracking โดยเฉพาะเมื่อมีความเค้นตกค้างในแนวเชื่อม 
  3. การลด Weld Toughness ฟอสฟอรัสส่งผลต่อการลดความเหนียวในแนวเชื่อม ซึ่งอาจทำให้แนวเชื่อมไม่สามารถทนต่อสภาวะโหลดหนักหรือแรงกระแทกได้อย่างเหมาะสม 
  4. การเกิดการแยกชั้น (Segregation) ฟอสฟอรัสที่สะสมตัวในแนวเชื่อมทำให้เกิดการแยกชั้นและจุดอ่อนในโครงสร้างจุลภาคของโลหะ ซึ่งเป็นแหล่งที่อาจเกิดรอยแตกร้าวหรือความเสียหายได้ง่าย
แนวทางการป้องกันและแก้ไข
  1. ควบคุมปริมาณฟอสฟอรัสในโลหะงาน ค่าฟอสฟอรัสในเหล็กกล้าคาร์บอนควรต่ำกว่า 0.04% เพื่อป้องกันผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่อกระบวนการเชื่อมและสมบัติของแนวเชื่อม 
  2. เลือก Filler Metal ที่เหมาะสม ใช้ลวดเชื่อมที่มีฟอสฟอรัสต่ำเพื่อลดผลกระทบในแนวเชื่อม เช่น ลวดเชื่อมที่ออกแบบมาสำหรับงานที่ต้องการความเหนียวสูง 
  3. การ Preheating การอุ่นล่วงหน้าที่อุณหภูมิ 150–300°C ช่วยลดความเค้นตกค้างและความเสี่ยงต่อการแตกร้าวในบริเวณ HAZ การเชื่อมแบบ Multi-Pass Welding
  4. เทคนิคการเชื่อมแบบหลายชั้นช่วยลดอัตราการเย็นตัวของโลหะ ทำให้โครงสร้างจุลภาคมีความเสถียรมากขึ้น การคลายความเค้นหลังเชื่อม (Post-Weld Heat Treatment, PWHT)
  5. ทำ PWHT เพื่อปรับปรุงโครงสร้างจุลภาคและลดความเปราะในแนวเชื่อม รวมถึงลดความเค้นตกค้าง
หากเหล็กกล้าคาร์บอนมีปริมาณกำมะถันสูงเกินค่ามาตรฐาน 
ส่งผลกระทบต่อกระบวนการเชื่อมและ Weld Properties ในหลายประการดังนี้
  1. เกิด Hot Cracking กำมะถันเป็นธาตุที่ส่งเสริมการเกิดรอยร้าวร้อนในแนวเชื่อมและบริเวณที่ได้รับความร้อน HAZ โดยเฉพาะในโลหะหลอมละลาย เนื่องจากกำมะถันทำให้เกิดจุดหลอมเหลวต่ำในบางส่วน ซึ่งจะนำไปสู่การแตกร้าวในระหว่างการเย็นตัว 
  2. ลดความสามารถในการเชื่อม เหล็กกล้าที่มีกำมะถันสูงจะมีสมบัติการไหลของโลหะ Poor Fluidity ส่งผลให้เกิดปัญหาในการเติมแนวเชื่อมและทำให้การเชื่อมยากขึ้น 
  3. เพิ่มความเปราะในแนวเชื่อม
  4. กำมะถันสูงทำให้เกิดโครงสร้างจุลภาคที่เปราะ เช่น Delta Ferrite หรือ Sulfide Inclusions ซึ่งส่งผลให้แนวเชื่อมขาดความเหนียวและไม่สามารถทนต่อแรงกระแทกได้ดี 
  5. การเกิดสารประกอบซัลไฟด์ สารประกอบซัลไฟด์ที่สะสมในแนวเชื่อมจะทำให้เกิดจุดอ่อนในโครงสร้างของโลหะ ซึ่งเพิ่มโอกาสการเกิดรอยร้าวในสภาวะใช้งานที่มีแรงดึงสูง 
  6. ผลกระทบต่อสมบัติทางกล การมีกำมะถันสูงอาจลดความแข็งแรงและความเหนียวของแนวเชื่อม ทำให้โลหะไม่สามารถรับแรงดึงหรือแรงกระแทกได้ดีเท่าที่ควร 
แนวทางการป้องกันและแก้ไข
  1. ควบคุมปริมาณกำมะถันในโลหะงาน
  2. ควรเลือกเหล็กกล้าที่มีปริมาณกำมะถันต่ำกว่า 0.03% ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการเชื่อม 
  3. การเลือกวัสดุเติม (Filler Metal) ใช้วัสดุเติมที่มีปริมาณกำมะถันต่ำ เพื่อป้องกันการเพิ่มความเปราะในแนวเชื่อม 
  4. Preheating การอุ่นโลหะงานก่อนเชื่อมที่อุณหภูมิ 150–300°C ลดอัตราการเย็นตัวและลดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยร้าวร้อน 
  5. การใช้เทคนิคการเชื่อมที่เหมาะสม เลือกกระบวนการเชื่อมที่ควบคุมความร้อนได้ดี เช่น GTAW (TIG) หรือ SMAW และใช้กระแสไฟฟ้าที่เหมาะสมเพื่อลดการสะสมความร้อน 
  6. การคลายความเค้นหลังเชื่อม ทำ PWHT เพื่อช่วยปรับปรุงโครงสร้างจุลภาค ลดความเปราะ และลดความเค้นตกค้างในแนวเชื่อม
หากเหล็กกล้าคาร์บอนมีปริมาณโบรอนสูงเกินค่ามาตรฐาน 
ส่งผลกระทบต่อการเชื่อมในหลายด้าน เนื่องจากโบรอนมีผลสำคัญต่อโครงสร้างจุลภาคและสมบัติทางกลของโลหะ 
  1. เพิ่มความแข็งแรงและความเปราะ โบรอนในปริมาณที่สูงจะเพิ่มความแข็งแรงของเหล็กกล้าคาร์บอนโดยช่วยลดขนาดเกรน (Grain Refinement) และเพิ่ม Ferrite ที่ละเอียดขึ้นในโครงสร้าง การเพิ่มความแข็งแรงมากเกินไปจะทำให้วัสดุเปราะ (Brittle) เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลเสียต่อแนวเชื่อมและ HAZ
  2. เกิดรอยแตกร้าวในแนวเชื่อม ปริมาณโบรอนสูงจะทำให้มีแนวโน้มเกิด Hot Cracking และ Cold Cracking ในระหว่างหรือหลังการเชื่อม เนื่องจากโบรอนทำให้โลหะเหลวมีจุดหลอมเหลวต่ำลงในบางส่วนและสร้างความเค้นตกค้าง 
  3. ลดความเหนียวของแนวเชื่อม ปริมาณโบรอนสูงอาจลดความเหนียวกระแทก ของแนวเชื่อมและ HAZ ทำให้ไม่สามารถทนต่อแรงกระแทกหรือแรงดึงในสภาวะการใช้งานที่หนักหน่วงได้
  4. ส่งผลต่อการหลอมละลายและการเย็นตัว การเย็นตัวอย่างรวดเร็วในแนวเชื่อมที่มีโบรอนสูงจะเพิ่มโอกาสเกิดมาร์เทนไซต์ ซึ่งเป็นโครงสร้างที่แข็งแต่เปราะมากใน HAZ
แนวทางแก้ไข
  1. ควบคุมปริมาณโบรอนในโลหะงาน ตรวจสอบส่วนผสมของเหล็กกล้าคาร์บอนก่อนการใช้งาน เพื่อหลีกเลี่ยงปริมาณโบรอนที่สูงเกินมาตรฐาน
  2. เลือกกระบวนการเชื่อมที่เหมาะสม ใช้กระบวนการเชื่อมที่ให้ความร้อนต่ำ เช่น GTAW (TIG) หรือ SMAW เพื่อควบคุมการเย็นตัวของแนวเชื่อม
  3. ปรับเปลี่ยนโลหะเติม เลือกวัสดุเติมที่ช่วยลดการเกิดรอยแตกร้าว เช่น ลวดเชื่อมที่มีปริมาณนิกเกิลหรือธาตุที่ช่วยปรับปรุงสมบัติทางโลหะวิทยาในแนวเชื่อม
  4. การเตรียมชิ้นงานและการอุ่นชิ้นงาน ที่อุณหภูมิที่เหมาะสมและควบคุมการเย็นตัวอย่างช้า ๆ เพื่อป้องกันการเกิดรอยร้าว
เอกสารอ้างอิง

(1) American Welding Society (AWS). Welding Handbook, Ninth Edition, Volume 1: Welding Science and Technology. Miami, FL: American Welding Society, 2001. ISBN: 0-87171-657-7.
(2) American Welding Society (AWS). Welding Handbook, Ninth Edition, Volume 2: Welding Processes, Part 1. Miami, FL: American Welding Society, 2004. ISBN: 0-87171-729-8.
(3) American Welding Society (AWS). Welding Handbook, Ninth Edition, Volume 3: Welding Processes, Part 2. Miami, FL: American Welding Society, 2007. ISBN: 978-0-87171-053-6.
(4) American Welding Society (AWS). Welding Handbook, Ninth Edition, Volume 4: Materials and Applications, Part 1. Miami, FL: American Welding Society, 2011. ISBN: 978-0-87171-759-7.
(5) American Welding Society (AWS). Welding Handbook, Ninth Edition, Volume 5: Materials and Applications, Part 2. Miami, FL: American Welding Society, 2015. ISBN: 978-0-87171-856-3.
(6) ASM International. (1993). Metals Handbook, Volume 1: Properties and Selection: Irons, Steels, and High-Performance Alloys. 10th Edition. Materials Park, Ohio: ASM International.
(7) Callister, W.D. Jr., & Rethwisch, D.G. (2021). Materials Science and Engineering: An Introduction. 10th Edition. Hoboken, NJ: Wiley.
(8) American Society for Testing and Materials (ASTM). (2020). ASTM A615/A615M-20: Standard Specification for Deformed and Plain Carbon-Steel Bars for Concrete Reinforcement. ASTM International.
(9) Japanese Industrial Standards (JIS). (2018). JIS G3112: Steel Bars for Concrete Reinforcement. Tokyo: Japanese Standards Association.
(10) Thai Industrial Standards Institute (TISI). (2016). มอก. 20-2559: เหล็กเส้นกลม. Bangkok: TISI.
(11) Thai Industrial Standards Institute (TISI). (2016). มอก. 24-2559: เหล็กเส้นเสริมคอนกรีตชนิดข้ออ้อย. Bangkok: TISI.
(12) European Committee for Standardization (CEN). (2005). EN 10080: Steel for the Reinforcement of Concrete - Weldable Reinforcing Steel. Brussels: CEN.
(13) World Steel Association. (2020). World Steel in Figures 2020. Brussels: World Steel Association.
(14) Totten, G.E., & MacKenzie, D.S. (2003). Handbook of Aluminum and Aluminum Alloys. 2nd Edition. Boca Raton, FL: CRC Press.

0085. GAS METAL ARC WELDING ตอนที่ 27

 0085. GAS METAL ARC WELDING ตอนที่ 27

0084. MONITORING AND CONTROL OF WELDING AND JOINING PROCESSES ตอนที่ 30

 0084. MONITORING AND CONTROL OF WELDING AND JOINING PROCESSES ตอนที่ 30

0083. MAGNESIUM AND MAGNESIUM ALLOYS ตอนที่ 18

 0083. MAGNESIUM AND MAGNESIUM ALLOYS ตอนที่ 18

0082. UNDERWATER WELDING AND CUTTING ตอนที่ 18

 0082. UNDERWATER WELDING AND CUTTING ตอนที่ 18

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2568

0081. FLASH AND UPSET WELDING ตอนที่ 26

 0081. FLASH AND UPSET WELDING ตอนที่ 26

0080. FLUX CORED ARC WELDING ตอนที่ 22

 0080. FLUX CORED ARC WELDING ตอนที่ 22

0079. ELECTROSLAG WELDING ตอนที่ 18

  0079. ELECTROSLAG WELDING ตอนที่ 18

0078. MECHANIZED, AUTOMATED, AND ROBOTIC WELDING ตอนที่ 76

 0078. MECHANIZED, AUTOMATED, AND ROBOTIC WELDING ตอนที่ 76